การควบคุมเสียงและการป้องกันอันตรายจากเสียงในสถานที่ทำงาน เป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับเทคนิค (จป. เทคนิค) ที่มีบทบาทในการตรวจสอบและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากเสียงรบกวน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานเครื่องจักรหรือมีการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสียงดัง เช่น โรงงานผลิต, สถานีบริการ, หรือไซต์ก่อสร้าง เสียงที่เกินระดับที่กำหนดสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น การสูญเสียการได้ยินถาวร ซึ่งเป็นอันตรายที่สามารถป้องกันได้หากมีการจัดการที่เหมาะสม
ความสำคัญของการควบคุมเสียงในสถานที่ทำงาน
เสียงที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานอาจมาจากหลายแหล่ง เช่น เครื่องจักร, ระบบขนส่ง, หรือการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของวัสดุ เสียงดังที่เกิดขึ้นจากแหล่งเหล่านี้มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อพนักงานในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ทำงานที่มีระดับเสียงสูงเกินมาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายทางการได้ยิน การศึกษาพบว่าเสียงที่มีระดับสูงกว่า 85 เดซิเบล (dB) เป็นอันตรายที่สามารถทำให้การได้ยินเสื่อมสภาพได้หากได้รับเสียงดังในระยะยาว (Occupational Safety and Health Administration, OSHA, 2020)
ผลกระทบจากการได้รับเสียงดังมากเกินไปสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ เช่น
- การสูญเสียการได้ยิน: เสียงที่มีความดังเกินกว่าระดับที่กำหนดสามารถทำให้เซลล์ในหูถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการสูญเสียการได้ยินทั้งในระดับเล็กน้อยไปจนถึงการสูญเสียการได้ยินถาวร
- ความเครียดและความวิตกกังวล: การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกินไปอาจทำให้พนักงานรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
- ปัญหาทางร่างกาย: เสียงที่ดังมากเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับและการทำงานของระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวหรือภาวะเหนื่อยล้า
มาตรการควบคุมเสียงในสถานที่ทำงาน
การควบคุมเสียงในสถานที่ทำงานสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทงานและระดับเสียงที่มีอยู่ในสถานที่ทำงาน มาตรการเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก คือ การป้องกันที่ต้นเหตุ, การควบคุมเสียงที่แหล่งกำเนิด, และการควบคุมที่ระดับของบุคคล
1. การป้องกันที่ต้นเหตุ
มาตรการป้องกันที่ต้นเหตุ หมายถึง การลดเสียงจากแหล่งกำเนิด ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมเสียง โดยวิธีการนี้สามารถทำได้ดังนี้:
-
- การเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีเสียงต่ำ: ควรเลือกเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ผลิตเสียงน้อย เช่น การเลือกใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีเสียงต่ำ หรือการติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถลดเสียงขณะทำงาน
- การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน: การเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือกระบวนการผลิตเพื่อลดการเกิดเสียง เช่น การปรับปรุงระบบการขนส่งที่ไม่ใช้การสั่นสะเทือน หรือการใช้วัสดุที่ดูดซับเสียงได้ดีขึ้น
2. การควบคุมเสียงที่แหล่งกำเนิด
การควบคุมเสียงที่แหล่งกำเนิดเป็นการลดระดับเสียง ก่อนที่จะกระจายออกไปในพื้นที่ทำงาน โดยสามารถทำได้ดังนี้:
-
- การใช้ฉนวนกันเสียง: การติดตั้งฉนวนกันเสียงที่แหล่งกำเนิด เช่น การใช้แผ่นฉนวนเสียงรอบเครื่องจักรหรือการสร้างห้องสำหรับเครื่องจักรที่มีเสียงดัง
- การติดตั้งเครื่องดูดซับเสียง: การใช้วัสดุที่ดูดซับเสียง เช่น ผนังดูดซับเสียงหรือการใช้แผ่นดูดซับเสียงในพื้นที่ที่มีเสียงดังมาก
3. การควบคุมที่ระดับบุคคล
การควบคุมที่ระดับบุคคล หมายถึง การปกป้องพนักงานจากเสียงที่เกินมาตรฐาน ด้วยวิธีการดังนี้:
-
- การใช้อุปกรณ์ป้องกันหู (Hearing Protection Devices): การให้พนักงานสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันหู เช่น แผ่นป้องกันหู (earplugs) หรือที่ครอบหู (earmuffs) เพื่อป้องกันการได้รับเสียงที่มีระดับสูง
- การฝึกอบรมพนักงาน: จป. เทคนิคควรให้การฝึกอบรมแก่พนักงานเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ป้องกันหูและวิธีการป้องกันอันตรายจากเสียง รวมถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่า พนักงานปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้สนใจทำงานตำแหน่ง จป เทคนิค เราของแนะนำคอร์สเรียน จป. เทคนิค พร้อมใบเซอร์รับรอง ที่สามารถขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการฯ เพื่อเสริมสร้างทักษะในการดูแลความปลอดภัยในที่ทำงาน และเพิ่มความมั่นใจในงานด้านความปลอดภัย สอบถามรายละเอียดและสมัครเรียนวันนี้ >> เรียน จป. เทคนิค พร้อมใบเซอร์
วิธีการวัดระดับเสียง และการประเมินความเสี่ยง ของระดับเสียง
การวัดระดับเสียงในสถานที่ทำงานเป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินความเสี่ยงจากเสียง ซึ่งจะช่วยให้ จป. เทคนิคสามารถตัดสินใจเลือกใช้มาตรการควบคุมที่เหมาะสม การวัดระดับเสียงทำได้โดยใช้ เครื่องมือวัดระดับเสียง (Sound Level Meter)ซึ่งสามารถวัดระดับความดังของเสียงในหน่วยเดซิเบล (dB) และตรวจสอบว่าเสียงในสถานที่ทำงานเกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้หรือไม่
มาตรฐานระดับเสียงในสถานที่ทำงาน ตามหลักสากล
การกำหนดมาตรฐานระดับเสียงในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้พนักงานได้รับอันตรายจากเสียงที่เกินระดับที่ปลอดภัย มาตรฐานเหล่านี้ได้รับการกำหนดโดยหน่วยงานต่าง ๆ เช่น OSHA และ NIOSH ซึ่งมีข้อกำหนดที่ชัดเจนเพื่อคุ้มครองพนักงานจากอันตรายทางการได้ยินจากเสียงที่ดังเกินไป
1. มาตรฐานของ OSHA
OSHA (Occupational Safety and Health Administration) เป็นหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขภาพในที่ทำงานของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้กำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับระดับเสียงที่ปลอดภัยในสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะเสียงที่มาจากเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีความดังสูง
มาตรฐานของ OSHA กำหนดว่า:
- ระดับเสียงที่ 90 เดซิเบล (dB) เป็นระยะเวลานาน 8 ชั่วโมงต่อวัน: พนักงานที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังถึงระดับนี้จะได้รับอันตรายจากเสียงหากสัมผัสกับระดับเสียงดังนี้เป็นเวลานาน โดยต้องใช้การป้องกันหู
- ระดับเสียงที่ 100 เดซิเบล (dB): หากระดับเสียงสูงถึง 100 dB พนักงานไม่ควรสัมผัสเสียงนี้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน โดยต้องใช้การป้องกันหู
- ระดับเสียงที่ 115 เดซิเบล (dB): หากระดับเสียงสูงถึง 115 dB พนักงานไม่ควรสัมผัสเสียงนี้เกิน 15 นาทีต่อวัน โดยต้องใช้การป้องกันหูอย่างเข้มงวด
OSHA ยังได้กำหนดการใช้ อุปกรณ์ป้องกันเสียง (Hearing Protection Devices: HPDs) อย่างเคร่งครัดในกรณีที่ระดับเสียงในสถานที่ทำงานเกินมาตรฐานที่กำหนด โดยผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังสูงต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันหู เช่น แผ่นป้องกันหู (earplugs) หรือที่ครอบหู (earmuffs) เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงดังทำลายการได้ยิน
2. มาตรฐานของ NIOSH
NIOSH (National Institute for Occupational Safety and Health) ของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดมาตรฐานการรับเสียงที่แตกต่างจาก OSHA โดยเฉพาะในเรื่องของการสัมผัสเสียงในระยะยาว ซึ่ง NIOSH แนะนำให้ลดระดับเสียงที่เกิน 85 dB ให้มากที่สุดโดยใช้มาตรการที่เหมาะสม
มาตรฐานของ NIOSH กำหนดว่า:
- ระดับเสียง 85 dB: NIOSH แนะนำว่าไม่ควรสัมผัสเสียงที่ระดับ 85 dB เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าหากไม่สามารถลดเสียงให้ต่ำกว่าระดับนี้ได้ พนักงานควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันหู
- ระดับเสียง 90 dB หรือสูงกว่า: หากระดับเสียงในสถานที่ทำงานสูงถึง 90 dB หรือมากกว่า การใช้การป้องกันหูเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการสูญเสียการได้ยินในระยะยาว
NIOSH ยังแนะนำให้มีการตรวจสอบเสียงในสถานที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าระดับเสียงอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยและพนักงานทุกคนได้รับการป้องกันจากอันตรายทางเสียง
สรุป
การควบคุมเสียงและการป้องกันอันตรายจากเสียงในสถานที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญที่ จป. เทคนิคต้องให้ความใส่ใจ การประเมินระดับเสียงอย่างถูกต้องและการเลือกใช้มาตรการที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายที่เกี่ยวข้องกับเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ควรมีการเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากอันตรายทางเสียง
อ้างอิง
- Occupational Safety and Health Administration. (2020). Occupational Noise Exposure.
- National Institute for Occupational Safety and Health. (2020). Hearing Loss Prevention. Retrieved from https://www.cdc.gov/niosh/topics/hearingloss
บทความที่น่าสนใจ
- ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ในที่ทำงาน ต้องตรวจอะไรบ้าง
- เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการติดตั้งนั่งร้าน มีอะไรบ้าง
- ระบบดับเพลิงอัตโนมัติในอาคารสูง มาตรฐานและการออกแบบ
- เจาะลึกปั๊มน้ำดับเพลิง การทำงานและความสำคัญ ในการป้องกันอัคคีภัย